วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

ซันเดอร์แลนด์ ตอน3

ในปี 2002-2003 ผลงานกลับทำผลงานได้ย่ำแย่อีกครั้ง เมื่อชนะเพียง 4 เกม ยิงได้ 21 ประตู เก็บได้แค่ 19 คะแนนเท่านั้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ซันเดอร์แลนด์ตกอยู่ในภาวะหนี้สินท้วมสโมสร มากกว่า 20 ล้านปอนด์ ทำให้จำเป็นต้องขายนักเตะที่ดีที่สุดไปเพื่อพยุงสถานการณ์ของสโมสร
ในฤดูกาล 2004-2005 ซันเดอร์แลนด์จบอย่างสวยหรู โดยการทำทีมของ มิค แมคคาร์ธธี โดยเป็นแชมป์ของลีก Coca-Cola Championship และได้กับมาเล่นในระดับพรีเมียร์ชิพอีกครั้ง ครั้งที่ 3 ในรอบ 10 ปี
หลังจากจบซีซัน 2005-2006 ซันเดอร์แลนด์เก็บได้เพียง 15 คะแนน เป็นประวัติการได้คะแนนน้อยที่สุดของสโมสร ทำให้ แมคคาร์ธธี ต้องออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในช่วงกลางฤดูกาล โดยมีรักษาการผู้จัดการทีมคือ Kevin
ความหวังของทีมซันเดอร์แลนด์ก็กลับมาอีกครั้งในปี 2006 ด้วยการเข้าซื้อกิจการของไนออล ควินน์ อดีตนักเตะของซันเดอร์แลนด์ ร่วมกับ Irish Drumaville Consortium ทำการซื้อหุ้นจากประธานสโมสรคนก่อน Bob Murray และการเข้ามาคุมทีมของรอย คีน อดีตกัปตันแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นอดีตทีมชาติไอร์แลนด์เหมือนประธานสโมสร
หลังจากการเข้ามาของประธานสโมสร และผู้จัดการทีมคนใหม่ ซันเดอร์แลนด์สร้างสถิติไม่แพ้ใคร 17 นัดติดต่อกันในฤดูกาล 2006-2007
ในช่วงต้นปี 2007 เก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ ขยับจากตำแหน่งบ๊วยของตารางขึ้นมาเป็นจ่าฝูง และทำให้ซันเดอร์แลนด์เลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกในฐานะ ทีมชนะเลิศ พร้อมกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ อันดับ 2 และทีมดาร์บีเคาน์ตี ชนะเลิศเพลย์ออฟ

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

ซันเดอร์แลนด์ ตอน2


ปี 1995 ซันเดอร์แลนด์ก็ได้ใช้บริการผู้จัดการทีมคนใหม่ ปีเตอร์ รีด เพียงแค่ฤดูการแรก ปีเตอร์ รีด ก็สร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพาทีมขึ้นสู่ระดับพรีเมียร์ลีก หลังจากต้องพยายามอยู่กว่า 5 ปี แต่เนื่องจากทำผลงานได้ไม่ดีนักทำให้ต้องกลับไปเล่นในระดับดิวิชั่น 1 เมื่อจบฤดูกาล และในปีเดียวกันนั้น ทีมซันเดอร์แลนด์ต้องย้ายจากสนาม Roker Park ที่เคยใช้งานมากว่า 99 ปี มายังสนามแห่งใหม่ที่มีความจุมากที่สุดแห่งหนึ่งในรอบ 70 ปีของสนามกีฬาในอังกฤษ ด้วยจำนวนที่นั่งผู้ชม 42,000 คน และได้ขยายมาเป็น 49,000 คนซันเดอร์แลนด์กลับสู่ระดับพรีเมียร์ชิพอีกครั้งในปี 2000-2001 ด้วยฤดูกาลที่ไม่ยากเย็นนัก ปี 1998-1999 ทำคะแนนได้สูงถึง 105 คะแนน

ในอีก 2 ปีต่อมา 2001-2002 ซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ดีอยู่อันดับ 7 ในระดับพรีเมียร์ลีก แต่ทว่ายังพลาดโอกาสที่จะไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ซันเดอร์แลนด์


ซันเดอร์แลนด์

สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ มีสนามเหย้าชื่อสเตเดียมออฟไลท์ ตั้งอยู่ในเมืองซันเดอร์แลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ เป็นทีมที่เล่นในพรีเมียร์ลีก
เริ่มใช้งานสนามสเตเดียมออฟไลท์ตั้งแต่ปี 1997 หลังจากใช้งานสนาม Roker Park มากกว่า 99 ปี ซันเดอร์แลนด์เคยเป็นแชมป์ลีกสูงสุด 6 ครั้ง ในปี 1892, 1893, 1895, 1902, 1913 และ 1936 เข้าร่วมกับลีกอังกฤษตั้งแต่ปี 1890 โดยซันเดอร์แลนด์เล่นอยู่ในลีกสูงสุดเรื่อยมาจนถึงปี 1958 เคยชนะเลิศเอฟเอคัพ 2 ครั้ง ในปี 1937 ชนะ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ 3-1 และในปี 1973 ชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 1-0

ประวัติสโมสร

สโมสรซันเดอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1879 และได้เริ่มรับนักเตะเข้ามาร่วมทีมและเข้าร่วมฟุตบอลลีกอาชีพในปี 1890
ในช่วงแรกระหว่างปี 1886-1898 ซันเดอร์แลนด์ได้ใช้สนาม Newcastle Road ร่วมกับสโมสรนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญ ต่อมาในปี 1898 ซันเดอร์แลนด์ได้ย้ายมาใช้สนามโรเกอร์พาร์ค เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่
ปี 1913 ซันเดอร์แลนด์พ่ายให้กับทีมแอสตันวิลลา ในเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ทีมซันเดอร์แลนด์ก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

ปี 1958 ทีมซันเดอร์แลนด์ตกชั้นไปเล่นลีกดิวิชั่น 1 เป็นครั้งแรก
ปี 1987 ซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ย่ำแย่ทำให้ตกลงไปเล่นในระดับดิวิชั้น 3 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ต่อมาซันเดอร์แลนด์มีผลงานที่ดีขึ้นและเป็นแชมป์ในปี 1988 และหลังจากนั้น 2 ปีสามารถทำผลงานได้ถึงรอบเพลย์ออฟ แต่ต้องพ่ายให้กับสวินดอน หลังจากพ่ายแพ้ทำให้ยังคงต้องเล่นอยู่ในระดับดิวิชั้น 2 ในฤดูกาล 1991-1992 ทีมสามารถเข้าใกล้พื้นที่เพลย์ออฟแต่ทำไม่สำเร็จ ได้เพียงเข้าชิงเอฟเอคัพ และพ่ายให้กับลิเวอร์พูลในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

แอสตันวิลลา


ฉายา สิงห์ผงาด
ประธานสโมสรคนปัจจุบัน เรนดี้ เลิร์นเนอร์
ผู้จัดการทีมคนล่าสุด มาร์ติน โอนีล
ที่อยู่ : B6 6HE บริเวณฝั่งแอสตันเมืองเบอร์มิงแฮมประเทศอังกฤษ
สนาม วิลล่าพาร์ค (ความจุ 42,640)
สถิติผู้ชมมากที่สุด 76588 คน
ชนะมากสุด 12-2แอคคริงตัน / แพ้มากที่สุด 8-1แบล็คเบิร์น
สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา เป็นหนึ่งในสโมสรในเมืองเบอร์มิงแฮมมีคู่อริคือเบอร์มิงแฮม ซิตี้ แอสตันวิลลา เคยชนะยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกหนึ่งสมัยในปี1982ซึ่งเป็นยุคของโทนี่ บาร์ตัน ปัจจุบันอยู่ภายใต้การทำทีมของมาร์ติน โอนีล อดีตผู้จัดการทีมกลาสโกว์ เซลติก ในสกอตแลนด์ซึ่งโอนีลได้วางรากฐานใหม่จนเปลี่ยนวิลล่าจากทีมกลางตารางเป็นทีมระดับหัวแถวในปี2010 แอสตัน วิลล่าได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอล คาร์ลิ่ง คัพ กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแต่ก็แพ้ไป2-1
เกียติประวัติแชมป์ถ้วยยุโรป
แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพหรือยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกในปัจจุบัน 1 สมัยในปี 1982
ยูโรเปี้ยนซูเปอร์คัพ 1 สมัยในปี 1982–83
อินเตอร์โตโต้คัพ 1 สมัยในปี 2001
แชมป์ลีกส์(สมัยยังเป็นดิวิชั่น1อยู่) 7 สมัยในปี 1893–94, 1895–96(ดับเบิ้ลแชมป์), 1896–97(ดับเบิ้ลแชมป์), 1898–99, 1899–1900, 1909–10, 1980–81รองแชมป์ 10 สมัย
แชมป์ดิวิชั่น2เดิม 2สมัยในปี 1937–38, 1959–60
แชมป์ดิวิชั่น3เดิม 1สมัยในปี 1971–72
แชมป์ เอฟเอ คัพ 7สมัยในปี 1887, 1895, 1897, 1905, 1913, 1920, 1957 รองแชมป์ 3 สมัย
แชมป์ลีกคัพ 5สมัยในปี 1961, 1975, 1977, 1994, 1996
แชมป์แชร์ริตี้ชิลล์ 1สมัยในปี 1981 (แชมป์ร่วม)
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
1 GK แบร็ด ฟรีเดล
2 DF ลุค ยัง
3 DF วิลเฟรด เบาม่า
4 DF สตีฟ ซิดเวลล์
5 DF ริชาร์ด ดันน์
6 MF สจ๊วต ดาวนิ่ง
7 MF แอชลี่ย์ ยัง
8 MF เจมส์ มิลเนอร์
9 FW มาร์ลอน แฮร์วู้ด
10 FW ยอห์น คาริว
11 FW กาเบรียล อักบอนลาฮอร์
15 DF เคอร์ติส เดวิส
18 FW เอมิล เฮสกี้
19 MF สติลิยัน เปตรอฟ (กัปตันทีม)
20 MF ไนเจล รีโอ-โคเกอร์
21 DF นิคกี้ ชอรี่
22 GK แบรดลี่ กูซาน
23 DF ฮาบิบ เบย์
24 DF คาลอส คูเอลล่า
25 DF สตีเฟ่น วอร์น็อค
29 DF เจมส์ คอลลิน

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาร์เซนอล ตอน4


อาร์เซนอลจบฤดูกาลด้วยอันดับ 1 หรืออันดับ 2 รวมทั้งสิ้น 8 ฤดูกาลจาก 11 ฤดูกาลที่อาร์แซน เวนเกอร์ก้าวเข้ามาคุมทีมๆนี้ อาร์เซนอลเป็นหนึ่งในสี่สโมสรเท่านั้นที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ตั้งแต่ก่อตั้งลีกสูงสุดนี้ขึ้นในปี 1993 (นอกจากอาร์เซนอลก็มีแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และเชลซี) แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้แม้แต่สมัยเดียวก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ อาร์เซนอลยังไม่เคยตกรอบที่ต่ำกว่ารองก่อนรองชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเลย โดยในฤดูกาล 2005-06 สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ ซึ่งเป็นทีมแรกจากกรุงลอนดอนที่สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปได้ในรอบ 15 ปี แต่กลับแพ้ให้กับบาร์เซโลนา 2-1 อย่างน่าเสียดาย จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 อาร์เซนอลก็ได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปีที่ไฮบิวรีลง โดยการย้ายสนามเหย้ามาอยู่ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียมอันเป็นที่ตั้งของสโมสรในปัจจุบันนี้
เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 ในปลายปี ค.ศ. 1999 อาร์เซนอลได้รับการจัดลำดับจากสำนักข่าวบีบีซีให้เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 100 ปี โดยพิจารณาจากสถิติ และปัจจัยต่าง ๆ โดยมี เอฟเวอร์ตัน และ ลิเวอร์พูล เป็นอันดับสอง และสาม ตามลำดับผู้เล่นชุดปัจจุบัน
1 GK มานูเอล อัลมูเนีย
2 MF อาบู ดิยาบี้
3 DF บาการี่ ซาญ่า
4 MF เชส ฟาเบรกาส (กัปตันทีม)
5 DF โธมัส แฟร์มาเล่น
7 MF โทมัส โรซิชกี้
8 MF ซามีร์ นาสรี่
9 FW เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา
10 DF วิลเลี่ยม กัลลาส
11 FW โรบิน ฟาน เพอร์ซี่
12 FW คาร์ลอส เบล่า
14 FW ธีโอ วัลค็อตต์
15 MF เดนิลสัน
16 MF อารอน แรมซี่ย์
17 MF อเล็กซานเดอร์ ซง
18 DF มิเกล ซิลแวสต์
19 MF แจ็ค วิลเชียร์
20 DF โยฮัน ฌูรู
21 GK ลูคัส ฟาเบียนสกี้
22 DF กาแอล กลิชี่
23 FW อังเดร อาร์ชาวิน
27 DF เอ็มมานูเอล เอบูเอ้
28 MF คีแรน กิบส์
31 DF โซล แคมป์เบลล์
32 MF ฟราน เมริดา
52 FW นิคลาส เบนท์เนอร์
เกียรติประวัติ
ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-2002 ระดับประเทศ
ได้แชมป์น้อยที่สุดรองจากเชลซีในพรีเมียร์ลีก
ดิวิชัน 1 และพรีเมียร์ลีก[13]
ชนะเลิศ (13):1930–31,1932–33,1933–34,1934–35,1937–38,1947–48,1952–53,1970–71,1988–89,1990–91,1997–98,2001–02,2003–04
รองชนะเลิศ (8):1925–26,1931–32,1972–73,1998–99,1999–2000,2000–01,2002–03,2004–05
ดิวิชัน 2[13]
รองชนะเลิศ (1):1903–04
เอฟเอคัพ
ชนะเลิศ(10):1929–30,1935–36,1949–50,1970–71,1978–79,1992–93,1997–98,2001–02,2002-03,2004–05
รองชนะเลิศ (7):1926–27,1931–32,1951–52,1971–72,1977–78,1979–80,2000–01
ลีกคัพ
ชนะเลิศ (2):1986–87,1992–93
รองชนะเลิศ (4):1967–68,1968–69,1987–88,2006–07
ชาริตีชิลด์และคอมมิวนิตีชิลด์[14]
ชนะเลิศ (12):1930,1931,1933,1934,1938,1948,1953,1991(แชมป์ร่วม),1998,1999,2002,2004
รองชนะเลิศ (7):1935,1936,1979,1989,1993,2003,2005
ระดับทวีปยุโรป
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
รองชนะเลิศ (1):2005–06
ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
ชนะเลิศ (1):1993–94
รองชนะเลิศ (2):1979–80,1994–95
อินเตอร์ซิตี้แฟร์คัพ
ชนะเลิศ (1):1969–70
ยูฟ่าคัพ
รองชนะเลิศ (1):1999–2000
ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ
รองชนะเลิศ (1):1994

อาร์เซนอล ตอน3


การกลับเข้ามาสู่วงการฟุตบอลอีกครั้งของ จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะในฐานะผู้จัดการทีมของอาร์เซนอลในปี 1986 ทำให้สโมสรสามารถคว้าแชมป์ได้ 3 สมัย อาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในฤดูกาล 1986-87 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่แกรแฮมเข้ามาคุมทีม จากนั้นก็มาได้แชมป์ลีกในฤดูกาล 1988-89 ด้วยการคว้าแชมป์จากประตูในนาทีสุดท้าของเกมที่พบกับลิเวอร์พูล จากนั้น อาร์เซนอลภายใต้การคุมทีมของแกรแฮมนั้นก็ได้แชมป์ลีกอีกในปี 1990-91 โดยแพ้ไปเพียงเกมเดียวเท่านั้น และสามารถคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์เอฟเอคัพพร้อมกับลีกคัพได้ในฤดูกาล 1992-93 และถ้วยยุโรปใบที่ 2 คือยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาล 1993-94 ได้ อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของแกรแฮมก็กลายเป็นความเสื่อมเสียเมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้รับเงินสินบนจาก Rune Hauge เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัวจากนั้น แกรแฮมก็โดนไล่ออกในปี 1995 และ บรูซ ริออช ก็เข้ามารับตำแหน่งแทน ซึ่งได้คุมทีมอยู่เพียงฤดูกาลเดียวก่อนที่จะลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรอยู่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 และช่วงทศวรรษที่ 2000 เนื่องจาก อาร์แซน เวนเกอร์ เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1996 เวนเกอร์นำแทคติคใหม่ๆมาใช้ นำวิธีการซ้อมใหม่ๆเข้ามาและนำนักเตะต่างชาติที่สามารถปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้มาเสริมทีมจำนวนมาก อาร์เซนอลจึงสามารถคว้าดับเบิลแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1997-98 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกและแชมป์บอลถ้วย และได้ดับเบิลแชมป์ที่ 3 ในฤดูกาล 2001-02 นอกจากนั้น สโมสรยังสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าคัพได้ในฤดูกาล 1999-00 (แพ้จุดโทษให้กับกาลาตาซาราย แต่มาได้แชมป์เอฟเอคัพ ในฤดูกาล 2002-03 และ 2004-05 แชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในปี 2003-04 ซึ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยจนได้รับฉายาว่า "อาร์เซนอลผู้ไร้เทียมทาน" และสามารถทำสถิติไม่แพ้ติดต่อกัน 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมา ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุดของประเทศอีกด้วย

อาร์เซนอล ตอน2


ปาทริก วิเอรา กัปตันทีมอาร์เซนอลชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2003-04
นักเตะอาร์เซนอลและแฟนบอลร่วมกันฉลองแชมป์ลีกเมื่อปี ค.ศ. 2004 บนขบวนรถบัสในปี 1925 อาร์เซนอลได้ว่าจ้างให้เฮอร์เบิร์ต แชปแมนเป็นผู้จัดการทีม แชปแมนเคยพาสโมสรฟุตบอลฮัดเดอร์สฟิลด์ทาว์นคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัยคือฤดูกาล 1923-24 และ 1924-25 ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมอาร์เซนอลนี้ และแชปแมนคือคนแรกที่พาอาร์เซนอลก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความสำเร็จยุคแรก เขาจัดการเปลี่ยนระบบการซ้อมและแทคติคใหม่ทั้งหมดพร้อมทั้งซื้อนักเตะระดับแนวหน้ามาร่วมทีมไม่ว่าจะเป็นอเล็กซ์ เจมส์และคลิฟฟ์ บานติน ทำให้อาร์เซนอลก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษได้ในช่วงทศวรรษที่ 1930 อาร์เซนอลคว้าแชมป์รายการใหญ่ๆได้เป็นครั้งแรกภายใต้การคุมทีมของแชปแมน โดยสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ฤดูกาล 1929-30 และแชมป์ลีก 2 สมัยคือฤดูกาล 1930-31 และ 1932-33 นอกจากนั้น แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานีรถไฟใต้ดิน "อาร์เซนอล" อันเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอลโดยเฉพาะ
น่าเสียดายที่แชปแมนเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมเมื่อต้นปี 1934 แต่หลังจากนั้น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน ที่เข้ามารับตำแหน่งก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน พวกเขาพาอาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีก 3 สมัย (ฤดูกาล 1933-34, 1934-35 และ 1937-38) และเอฟเอคัพ 1 สมัย (1935-36) อย่างไรก็ตาม อาร์เซนอลก็เริ่มถดถอยลงเรื่อยๆในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 การแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุกรายการในอังกฤษต้องยุติลง
หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ทอม วิทเทคเกอร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งของอัลลิสันได้เข้ามาบริหารทีม อาร์เซนอลจึงกลับมาประสบความสำเร็จได้อีก 2 ครั้งคือฤดูกาล 1947-48 และ 1952-53 ที่ได้แชมป์ลีก และ 1949-50 ที่ได้แชมป์เอฟเอคัพ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น โชคก็เหมือนจะไม่เข้าข้างอาร์เซนอลเท่าไรนัก สโมสรไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนักเตะชุดเดียวกับที่เคยอยู่ในทีมช่วงทศวรรษ 1930 ให้กลับเข้าสู่ทีมได้ ในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 นั้น อาร์เซนอลกลายเป็นทีมระดับธรรมดาๆที่ไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรได้เลย แม้ แต่บิลลี ไรท์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมนั้นก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้เลยในช่วงปี 1962-1966 ที่เข้ามาคุมทีม
อาร์เซนอลเริ่มกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหนึ่งหลังจากได้ว่าจ้างให้เบอร์ตี้ มี นักกายภาพบำบัดให้มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1966 แบบไม่มีใครคาดคิด อาร์เซนอลสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศลีกคัพได้ 2 สมัยแต่ก็พลาดแชมป์ทั้งสองครั้ง แต่ก็ยังสามารถคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ ฤดูกาล 1969-70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ตามมาด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรก นั่นคือแชมป์ลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาล 1970-71 แต่ในทศวรรษต่อมานั้น อาร์เซนอลทำได้แค่เพียงการเข้าไปใกล้ตำแหน่งแชมป์มากที่สุดแต่ก็แทบจะไม่สามารถคว้าแชมป์ได้เลย โดยได้รองแชมป์ลีกในฤดูกาล 1972-73 รองแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1971-72, 1977-78 และ 1979–80 และยังพ่ายแพ้ในเกมยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพรอบชิงชนะเลิศด้วยการดวลจุดโทษอีกด้วย สโมสรประสบความสำเร็จเพียงครั้งเดียวในช่วงนี้ก็คือการคว้าแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1978-79 ได้ด้วยการเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 3-2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญกันมากในเรื่องของความคลาสสิคของเกมนี้

อาร์เซนอล


สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลหรือรู้จักกันดีในชื่อ ไอ้ปืนใหญ่ เป็นทีมจากฮอลโลเวย์ ย่านลอนดอนเหนือ เป็นสโมสรฟุตบอลที่เล่นในเอฟเอพรีเมียร์ลีก และเป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ โดยก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1886 ครองแชมป์ดิวิชั่น 1 13 ครั้งและเอฟเอคัพ 10 สมัย มีสนามเหย้าปัจจุบันคือ เอมิเรตส์สเตเดียม โดยย้ายจากสนามเดิมอาร์เซนอลสเตเดียม ในย่านไฮบิวรี่ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 สำหรับสถิติการเล่น สโมสรอาร์เซนอลยังเป็นสโมสรเดียวในพรีเมียร์ลีกที่ไม่เคยแพ้ตลอดฤดูกาล
สีประจำสโมสรคือสีแดง-ขาว ปัจจุบันอาร์เซนอลเป็นสโมสรหนึ่งในกลุ่มจี-14
อาร์เซนอลมีกลุ่มแฟนบอลที่ให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมากทั่วโลก โดยมีคู่ปรับสำคัญหลายทีม ไม่ว่าจะเป็นคู่ปรับร่วมเมืองที่อยู่ไม่ไกลอย่างทอตแนมฮ็อตสเปอร์เมื่อใดที่ทั้งสองทีมมาเจอกันนั้นก็จะเป็นคราวที่สะกดคนดูทั้งลอนดอนเหนือไว้ที่สนามได้เลย อาร์เซนอลเป็นหนึ่งในสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในอังกฤษ
สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลเริ่มต้นขึ้น เมื่อกลุ่มคนงานของโรงงานผลิตอาวุธรอยัลอาร์เซนอลในแขวงวูลิช กรุงลอนดอน ก่อตั้งทีมฟุตบอลของตนเองขึ้นมาเมื่อปลายปี ค.ศ. 1886 ในชื่อ ไดอัล สแควร์ การแข่งขันแรกของทีมคือเกมที่สามารถเก็บชัยชนะเหนือทีมอีสเทิร์น วันเดอเรอร์ส 6-0 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1886 หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเป็น รอยัลอาร์เซนอล และยังคงแข่งขันในเกมอุ่นเครื่องและรายการท้องถิ่นต่อไป จากนั้นได้ก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพแล้วหันมาใช้ชื่อ วูลิชอาร์เซนอลในปี 1891 สโมสรแห่งนี้ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกเป็นครั้งแรกในปี 1893 ในดิวิชั่น 2 จากนั้นในปี 1904 ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ดิวิชั่น 1 เป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ในทางภูมิศาสตร์นั้นจะเห็นว่าสโมสรแห่งนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเกินไป ส่งผลกระทบให้จำนวนผู้ชมมีน้อยกว่าสโมสรอื่นจนกระทั่งทีมต้องประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนนำไปสู่การยุบทีมในปี 1910 เมื่อเฮนรี นอร์ริสได้เข้ามาเทคโอเวอร์ นอร์ริสพยายามมองหาแนวทางที่จะย้ายที่ตั้งของสโมสรไปอยู่ที่อื่นจนกระทั่งในปี 1913 หลังจากที่ตกชั้นดิวิชั่น 1 มาอยู่ดิวิชั่น 2 เหมือนเดิมนั้น อาร์เซนอลก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบิวรี่ บริเวณลอนดอนเหนือ ในปีต่อมา สโมสรได้ตัดสินใจตัดคำว่า "วูลิช" ออกจากชื่อสโมสรจนเหลือเพียง อาร์เซนอล เท่าที่เห็นในปัจจุบัน หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ลีกดิวิชั่น 1 ก็เพิ่มจำนวนทีมเป็น 22 ทีม อาร์เซนอลได้อันดับ 5 ของดิวิชั่น 2 ในปี 1919 แต่ถึงกระนั้นก็ได้รับเลือกให้กลับขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 อีกครั้งหนึ่งและอาร์เซนอลก็ไม่เคยถูกลดชั้นหรือตกชั้นเลยนับตั้งแต่นั้นมา

เซลซี


สโมสรฟุตบอลเชลซี เป็นทีมฟุตบอลในอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดมาแล้ว 13 ครั้ง รวมฤดูการล่าสุด (2005-06) เป็นแชมป์ เอฟเอคัพ 9 ครั้ง แชมป์ ลีกคัพ 8 ครั้ง และแชมป์ ยูฟ่าคัพ 10 ครั้ง สนามของเชลซีคือ สแตมฟอร์ดบริดจ์ จุผู้ชมได้ 92,055 คน ตั้งอยู่ในเขตชุมชนฟูแลมบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองลอนดอน ทีมฟุตบอลเชลซีไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตชุมชนเชลซี แต่ตั้งอยู่บนถนนฟูแลม ซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมระหว่างเขตฟูแลมและเขตเชลซี
สโมสรฟุตบอลเชลซีก่อตั้งเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) ที่ ผับชื่อเดอะไรซิงซัน ตรงข้ามกับสนามแข่งปัจจุบันบนถนนฟูแลม และได้เข้าร่วมกับลีกฟุตบอลในเวลาต่อมา เชลซีเริ่มมีชื่อเสียงภายหลังจากที่ได้รับชัยชนะใน ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 1954–55
ปี 1996 แต่งตั้ง รุด กุลลิท เป็นทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีม เชลซีสามารถคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้ในยุคของกุลลิทนี้
ปี 1997 เปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น จิอันลูก้า วิอัลลี่ โดยเป็นทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีมในช่วงแรก ในยุคของวิอัลลี่นี้สามารถทำทีมได้แชมป์ลีกคัพ และ ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพและสามารถเข้าถึงรอบรอง"ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพ"ได้เป็นปีทีสองติดต่อกันก่อนที่จะแพ้รีล มายอร์ก้าในปีนั้นทีมที่ได้แชมป์คือ ลาซิโอทีมจากอิตาลีไป ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มีการจัดการแข่งขัน "ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพ"
ปี 2000 จิอันลูก้า วิอัลลี่ถูกปลดออกจากผู้จัดการทีมและแทนที่ด้วย เคลาดิโอ รานิเอรี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ในยุคของรานิเอรีนั้น เชลซีมีผลงานติดห้าอันดับแรกของของพรีเมียร์ลีกอย่างสม่ำเสมอ
มิถุนายน ปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ.2003) โรมัน อบราโมวิช เข้าซื้อกิจการต่อจากเคน เบตส์ ในราคา 140 ล้านปอนด์ หลังการเข้าซื้อกิจการของมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เคลาดิโอ รานิเอรีซึ่งเป็นผู้จัดการทีมในขณะนั้นยังคงได้คุมทีมต่อไป ภายใต้การเปลี่ยนแปลงทีมอย่างมากมาย มีการซื้อนักเตะชื่อดังหลายรายเข้ามาเสริมทีมโดยใช้เงินไปอีกมากมายกว่าร้อยล้านปอนด์ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขันเชลซีไม่คว้าแชมป์ใดมาได้เลย สามารถทำอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก และ เข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก เมื่อจบฤดูกาลแรกหลังจากเข้าซื้อกิจการของมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ทางทีมจึงได้ปลด เคลาดิโอ รานิเอรี่ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และได้เซ็นสัญญาให้ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นผู้จัดการทีมต่อมา
ปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) เปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งสร้างสีสันให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษในสมัยนั้นเป็นอย่างมากกับบทสัมภาษณ์และทัศนะของ มูริญโญ่เอง
ปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ.2005) ได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกของสโมสร และครบร้อยปีจากการตั้งสโมสร
ปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) ได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งสองสมัยติดต่อกัน
20 กันยายน พ.ศ. 2550 มูรินโญ่ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง หลังจากทำผลงานไม่ดี 3 นัดติดต่อกัน แพ้ แอสตันวิลลา 0-2 เสมอแบล็กเบิร์นโรเวอร์ส 0-0 และไล่ตีเสมอโรเซนบอร์ก 1-1 และเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น อัฟราม แกรนท์
11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 สิ้นสุดฤดูกาลแรกของ อัฟราม แกรนท์ ไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ หลังจากรับงาน อัฟราม แกรนท์ พาทีมเชลซีต่อสู้แย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนถึงนัดสุดท้าย แต่ไม่สามารถทำได้โดยนัดสุดท้ายทำได้เพียงเสมอกับ โบลตัน 1-1 โดยถูกตีเสมอในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน สิ้นสุดฤดูกาลเชลซีทำแต้มได้ 85 แต้ม โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทำได้ 87 แต้ม
21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เข้าชิงแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสร กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย ในเวลา 120 นาทีเสมอกัน 1-1 ต้องเตะลูกจุดโทษตัดสิน เชลซีแพ้ไป 10-9 ประตู
24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ผู้บริหารสโมสรมีมติปลดอัฟราม แกรนท์ ออกจากตำแหน่ง
1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 สโมสรเชลซีแต่งตั้ง หลุย เฟลิปเป้ สโกลารี่ ขึ้นเป็นกุนซือเชลซีอย่างเป็นทางการ
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 สโกลารี่ทำผลงานได้ไม่ดี หลังจากนำทีมเสมอต่อ ฮัลล์ 10-10 ตามหลังแมนฯ ยูผู้นำอยู่ 7 แต้ม ผู้บริหารสโมสรได้มีมติปลดออกจากตำแหน่ง
12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 มติสโมสรแต่งตั้ง กุส ฮิดดิ้งค์ กุนซือชาวฮอลแลนด์ผู้จัดการทีมชาติรัสเซียเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยฮิดดิ้งค์จะทำหน้าที่ควบ 2 ตำแหน่ง ทั้งผู้จัดการทีมชาติรัสเซียและผู้จัดการเชลซี และกุส ฮิดดิ้งค์ นี้พาเชลชี คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 5 โดยเอาชนะเอฟเวอร์ตันในนัดชิงชนะเลิศ
1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 สโมสรเชลซีแต่งตั้ง คาร์โล อันเชล็อตติ ขึ้นเป็นกุนซือเชลซีอย่างเป็นทางการ
สแตมฟอร์ดบริดจ์ เป็นสนามฟุตบอลแห่งเดียวของเชลซีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมาตั้งอยู่ในเขตฟูแลม ในลอนดอน โดยเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2420 โดยในช่วง 28 ปีแรกที่เปิดใช้ ได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของสนามกรีฑาด้วย สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ออกแบบโดยสถาปนิกชาวสกอตแลนด์ บรรจุคนได้กว่า 42000 ที่นั้ง
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
1 GK ปีเตอร์ เช็ค
2 DF บรานิสสลาฟ อิวาโนวิช
3 DF แอชลี่ย์ โคล
5 MF มิคาเอล เอสเซียง
6 DF ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่
8 MF แฟรง แลมพาร์ด(รองกัปตันทีม)
10 MF โจ โคล
11 FW ดิดิเยร์ ดร็อกบา
12 MF จอห์น โอบี มิเกล
13 MF มิชาเอล บัลลัค
15 MF ฟลอรองต์ มาลูดา
17 DF โจเซ่ โบซิงวา
18 MF ยูริ เซอร์คอฟ
19 DF เปาโล แฟร์เรยร่า
20 MF เดโก้
21 FW ซาโลมง กาลู
22 GK รอส เทิร์นบูล
23 FW ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์
26 DF จอห์น เทอร์รี่ (กัปตันทีม)
33 DF อเล็กซ์
35 DF เบลเล็ตติ
39 FW นิโกลาส์ อแนลก้า
40 GK ฮิลาริโอ ซัมไปโญ่
ผลงาน
แชมป์เอฟเอ พรีเมียร์ลีก และฟุตบอลลีกดิวิชั่นหนึ่ง: 3 ครั้ง 1955, 2005, 2006
ฟุตบอลลีกดิวิชั่นสอง: 2 ครั้ง 1984, 1989
เอฟเอคัพ: 5 ครั้ง 1970, 1977, 2000, 2007, 2009
ลีกคัพ: 4 ครั้ง 1965, 1998, 2005, 2007
ชาริตีชิลด์ 4 ครั้ง1956, 2000, 2005, 2009
Full Members' Cup 2 ครั้ง 1986, 1990
ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพ 2ครั้ง 1971, 1998
UEFA Super Cup 1 ครั้ง 1998
FA Youth Cup 2 ครั้ง 1960, 1961
รองแชมป์ฟุตบอลเอฟเอคัพ 3 ครั้ง 1951, 1697, 1994
แชมป์ (Makita/Umbro Trophy) 2 ครั้ง 1994, 1997
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
รอบรองชนะเลิศ 2004, 2005, 2007, 2009
รองแชมป์ 2008

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด


ข้อมูลสโมสร ชื่อสโมสร: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ปีที่ก่อตั้ง: 1878
ฉายา: ปีศาจแดง
ที่อยู่: Sir Matt Busby Way,Old Trafford,Manchester M16 0RA
เบอร์ โทรศัพท์: 0161-872-1661
แฟ็กซ์: 0161-876-5502
ประธานสโมสร: เดวิด กิลล์
ผู้จัดการทีม: เซอร์ อเล็กซ์เฟอกูสัน
ผู้ช่วย ผู้จัดการทีม:คารอช เครอช
ประวัติทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
สโมสรอาชีพ : 1885
ชื่อเดิม : 1878-1880 นิวตัน ฮีธ แอลวายอาร์
1880-1902 นิวตัน ฮีธ
ชื่อเล่น : The Red Devils
สนาม: โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ความจุสนาม: 67,000 คน
สนามเดิม : 1880-1893 นอร์ธ โร้ด, มอนซอลล์
1893-1910 แบงค์ สตรีท, เคลย์ตัน
1910-1941 โอล์ด แทรฟฟอร์ด
1941-1949 เมน โร้ด
ความจุสนาม : 76,000
ขนาดสนามแข่ง : 116 หลา x 76 หลา
ผู้ชมสูงสุด : 75,828 v ลิเวอร์พูล, พรีเมียร์ชิพ, 22 ตุลาคม 2006
นักเตะที่ซื้อด้วยค่าตัวสูงสุด : 30 ล้านปอนด์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, ลีดส์, กรกฎาคม 2002
นักเตะที่ขายด้วยค่าตัวสูงสุด : 25 ล้านปอนด์, เดวิด เบ็คแฮม, เรอัล มาดริด, กรกฎาคม 2003
ดาวซัลโวสูงสุดในลีก : เดนนิส ไวโอเล็ต 32 ประตู, ดิวิชั่น 1, 1959-60
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด น่าจะเป็นสโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรและโด่งดังไปทั่วโลก ที่ได้ก่อตั้งมาในปี 1878 (พ.ศ. 2421) โดยใช้ชื่อทีมว่า "นิวตัน อีธ" พร้อมกับการเลื่อนขึ้นสู่ระดับการแข่งขันในดิวิชั่น 1 ในปี 1892 (พ.ศ.2435) และก่อนปีที่จะเกิดสงครามโลกครั้งแรก เคยนำแชมป์เบี้ยนชิพลีก มาสู่ถิ่นโอลด์แทร๊ฟฟอร์ดถึง 2 ครั้ง ขณะเดียวก็ยังชนะเลิศแชมป์เอฟ เอ คัพ อีก 1 ครั้ง หลังจากนั้นเป็นต้นมาประมาณว่าสลครามโลกครั้งที่ 2 ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ดูจะยิ่งห่างเหินพอสมควร ซึ่งอยุ่ภายใต้การควบคุมทีมของผู้จัดการที่มีความแตกต่างกันถึงสองคน โดยคนแรกที่ก้าวเข้ามาควบคุมทีม คือ เซอร์ แม๊ต บัสบี้ โดยทำหน้าที่ในปี 1945 และสามารถนำพาทีมเป็นแชมป์เบี้ยนลีก ได้ถึง 5 ครั้ง พร้อมกับชนะเลิศเอฟ เอ คัพ อีก 2 ครั้ง หลังจากเกิดโศกนาฏกรรม กับทีมเยาวชนสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หรือที่รู้จักกันในชื่อทีม"บัสบี้ เบ็บส์" เมื่อปี 1958 เครื่องบินตกที่เมืองมิวนิค ขณะเดินทางกลับจากการแข่งขันยูโรเปี้ยน คัพ ที่กรุงเบลเกรด เมืองหลวงของยูฌกสลาเวีย เป็นเวลาที่เนิ่นนานมานับ 10 ปี ที่ทีมห่างเหินจากการเป็นแชมป์ในรายการใดๆจนกระทั่งสองผู้ยิ่งใหญ่ในการเล่นฟุตบอลโคจรมาพบกัน และรวมพลังสร้างทีมขึ้นมาอีกครั้ง ที่บ๊อบบี้ ชาร์ตัน และ จอร์จ เบสต์ ทำให้ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมฟุตบอลทีมแรกของประเทศอังกฤษที่สามารถครองแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ โดยเอาชนะทีมเบนฟิก้า ได้ถึง 4 ประตูต่อ 1 ในรอบชิงชนะเลิศหลังจากนั้นต่อมาก็ได้ผู้จัดการทีมที่ดูว่าน่าจะสร้างสีสันและความหรูหราให้แก่ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ต่อไปได้ เช่น ทอมมี่ ด๊อดเคอร์ตี้ และ รอน แอ๊คกินสัน พยายามที่จะทำให้เป็นเหมือนอดีตที่ผ่านมา แต่ว่าไม่สามารถนำแชมป์รายการใดๆมาได้เลย พอถึงปี1902 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็สามารถล้มฉลามขาวอย่างทีมลีดส์ ยูไนเต็ด ในรายการประจำพรีเมียร์ลีก โดยการครองแชมป์ที่ต้องเดินทางมาไกลแสนไกลโดยใช้เวลาทั้งสิ้น 26 ปีที่ว่างเว้นกับการเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพ หลังจากนั้นความยิ่งใหญ่อหังการก็ติดตามมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเอาชนะทีมเชลชี ถึง 4 ประตู ต่อ 0 ในการแข่งขัน เอฟ เอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงทีมเดียวที่ได้สัมผัสและพบกับคำว่า " Double Double " เท่านั้นยังไม่พอ ในฤดูกาล 1998-1999 สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นติดตามมา จากคำว่า Double มาเป็น Tripble

เกียรติประวัติสโมสร
พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ/ ดิวิชั่น 1 เดิม1908, 1911, 1952, 1956, 1957, 1965, 1967, 1993, 1994, 1996, 1997, 1999, 2000, 2001, 2003
เอฟเอ คัพ1909, 1948, 1963, 1977, 1983, 1985, 1990, 1994, 1996, 1999, 2004
ลีก คัพ/ คาร์ลิ่ง คัพ1992, 2006
แชริตี้ ชิลด์/ คอมมิวนิตี้ ชิลด์1908, 1911, 1952, 1956, 1957, 1965, 1967, 1977, 1983, 1990, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003
ยูโรเปี้ยน คัพ/ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก1968, 1999
ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ1991
ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ1991
อินเตอร์ คอนติเนนทัล คลับ คัพ1999

ลิเวอร์พูล


จอห์น โฮลดิ้ง นัก ธุรกิจชาวเมืองลิเวอร์พูลได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟิลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน เช่าเป็นสนามแข่ง และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิ้ง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมได้ เช่าอยู่ ฝ่ายกลุ่มบริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนาม และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะ สแตนลี่ย์พาร์คเพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า กูดีสันพาร์ก ดังนั้น จอห์น โฮลดิ้ง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิ้ง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ จอห์น แมคเคนน่า มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Clubยุคก่อตั้งสโมสร หลัง จากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอม รับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด ( Liverbird ) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลส์โบรซ์ ไอโรโนโปลิส และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล ( ทั้งหมด 28 นัด ) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ ( ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปัจจุบัน ) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุดที่มาของ The Kop เด อะ ค็อป เป็นชื่อที่ใช้เรียกตามชื่อของเนินเขาแห่งหนึ่งใน นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งคนท้องถิ่นจะรู้จักกันในนาม สปิออน ค็อป โดยเกิดเหตุการณ์การทำสงครามบัวร์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1900 อังกฤษได้ ส่งทหารไปกว่า 300 นาย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล แต่แล้วในสงครามนั้นเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นคือ อังกฤษได้เสียทหารไปเกินกว่าครึ่ง เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น นักข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูลเดลี่โพสต์ ชื่อ เออร์เนสต์ เอ็ดเวิร์ตส์ จึงเสนอชื่อ สปิออน ค็อป ตามชื่อของเนินเขาลูกนั้น เป็นชื่อของอัฒจรรย์หลัง ประตูในการสร้างสนามใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นเกียรติในความกล้าหาญของทหารอังกฤษทั้ง 300 นาย ซึ่งต่อมาอัฒจรรย์แห่งนี้ได้กลายอัฒจรรย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกของ ฟุตบอลแห่งหนึ่ง. ในปี ค.ศ. 1928 ได้มีการต่อเติมอัฒจรรย์แห่งนี้ใหม่ และเมื่อใดเมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลของทีมลิเวอร์พูลขึ้น คนที่ไปดูการแข่งขันของทีมบนอัฒจรรย์จะเรียกตัวเองว่า เดอะ ค็อป (The Kop) และแล้วจากเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่สนามฮิลส์โบโร่ ในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งเกิดการถล่มของอัฒจรรย์ขึ้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 96 คน จึงมีคำสั่งให้ทุกสนามเปลี่ยนจากอัฒจรรย์ยืนเป็นแบบนั่งทั้งหมด และนั่นเป็นการปิดฉากของอัฒจรรย์ สปิออน ค็อป อัฒจรรย์แบบยืนที่มีความยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีอัฒจรรย์ใหม่ขึ้นมาและใช้ชื่อว่า นิว ค็อป ซึ่งความหมายต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม แม้ชื่ออัฒจรรย์จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม นิว ค็อป ยังคงมีกลิ่นอายของประวัติเหล่านั้นอยู่เต็มเปี่ยม
เกียรติ์ประวัติ
ฟุตบอลลีกดิวิชั่นหนึ่ง: 18
1901, 1906, 1922, 1923, 1947, 1964, 1966, 1973, 1976, 1977, 1979, 1980, 1982, 1983, 1984, 1986, 1988, 1990
ฟุตบอลลีกดิวิชั่นสอง: 4
1894, 1896, 1905, 1962
เอฟเอคัพ: 7
1965, 1974, 1986, 1989, 1992, 2001, 2006
ลีกคัพ: 7
1981, 1982, 1983, 1984, 1995, 2001, 2003
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก: 5
1977, 1978, 1981, 1984, 2005
ยูฟ่าคัพ: 3
1973, 1976, 2001
European Super Cup : 3
1977, 2001, 2005
ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ สูงสุด รองชนะเลิศ 2005
เอฟเอ ยูธคัพ แชมป์ ปี 1995-96 , 2005-06 , 2006-07