วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

ซันเดอร์แลนด์ ตอน4


ในนัดเปิดสนามฤดูกาล 2007-2008 ซันเดอร์แลนด์ชนะทอตแนมฮ็อตสเปอร์ ด้วยสกอร์ 1-0 โดยการทำประตูของ ไมเคิล โชปราในช่วงทดเวลาเจ็บ และนัดที่สองเสมอกับทีมน้องใหม่เหมือนกันคือ เบอร์มิงแฮมชิตี้ 2-2 โดย ไมเคิล โชปรา และ สเติร์น จอห์น ช่วยกันทำประตู

ในฤดูกาล2008/2009 ซันเดอร์แลนด์ เล่นนัดเปิดสนาม แพ้ ลิเวอร์พูล 0-1 หลังจากนั้นไม่กี่เดือน รอย คีน ก็ลาออกจากตำแหน่ง เพราะผลงานทีมย่ำแย่และเป็นริคกี้ สบราเกีย ผู้ช่วยเขาเข้ามาคุมทีมชั่วคราวแต่เพียงสองนัดผลงานทีมดูดีขึ้นด้วยการถล่มเวสบรอมวิชและฮัลส์ ซิตี้ทำให้ได้คุมทีมถาวรพอหลังจากนั้นผลงานทีมก็แย่ลง ทั้งที่มีนักเตะอย่าง ฌิบริล ซิสเซ่ อดีตหัวหอกลิเวอร์พูล เคนวิน โจนส์ หัวหอกดาวซัลโวปีที่แล้ว รวมถึง คีแรน ริชาร์ดสันด้วย

จนเมื่อจบฤดูกาลด้วยอันดับ16 ริคกี้ สบารเกีย ก็ออกจากตำแหน่งโดยคนที่มาแทนที่คือ สตีฟ บรูซ และ ได้ดึงนักเตะอย่าง ดาร์เรน เบนท์,เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ หัวหอกดาวรุ่งจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึง เปาโล ดาซิลวา ปราการหลังทีมชาติอุรุกวัย การเสริมทัพนับว่าน่าสนใจและน่าจะทำให้ทีมมีอนาคตที่ดีขึ้น

และในช่วงต้นฤดูกาลในเกมส์พบลิเวอร์พูลเกิดเหตุการ์ณที่สร้างความฮือฮาไปทั่ววงการเมื่อดาร์เรน เบนท์ กองหน้าซันเดอร์แลนด์ยิงไปโดนลูกบอลชายหาดที่แฟนเชียร์ขว้างลงมาในสนามทำให้บอลเปลี่ยนทางเข้าประตูไปโดยเกมส์นี้ซันเดอร์แลนด์ชนะไป1-0

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

ซันเดอร์แลนด์ ตอน3

ในปี 2002-2003 ผลงานกลับทำผลงานได้ย่ำแย่อีกครั้ง เมื่อชนะเพียง 4 เกม ยิงได้ 21 ประตู เก็บได้แค่ 19 คะแนนเท่านั้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ซันเดอร์แลนด์ตกอยู่ในภาวะหนี้สินท้วมสโมสร มากกว่า 20 ล้านปอนด์ ทำให้จำเป็นต้องขายนักเตะที่ดีที่สุดไปเพื่อพยุงสถานการณ์ของสโมสร
ในฤดูกาล 2004-2005 ซันเดอร์แลนด์จบอย่างสวยหรู โดยการทำทีมของ มิค แมคคาร์ธธี โดยเป็นแชมป์ของลีก Coca-Cola Championship และได้กับมาเล่นในระดับพรีเมียร์ชิพอีกครั้ง ครั้งที่ 3 ในรอบ 10 ปี
หลังจากจบซีซัน 2005-2006 ซันเดอร์แลนด์เก็บได้เพียง 15 คะแนน เป็นประวัติการได้คะแนนน้อยที่สุดของสโมสร ทำให้ แมคคาร์ธธี ต้องออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในช่วงกลางฤดูกาล โดยมีรักษาการผู้จัดการทีมคือ Kevin
ความหวังของทีมซันเดอร์แลนด์ก็กลับมาอีกครั้งในปี 2006 ด้วยการเข้าซื้อกิจการของไนออล ควินน์ อดีตนักเตะของซันเดอร์แลนด์ ร่วมกับ Irish Drumaville Consortium ทำการซื้อหุ้นจากประธานสโมสรคนก่อน Bob Murray และการเข้ามาคุมทีมของรอย คีน อดีตกัปตันแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นอดีตทีมชาติไอร์แลนด์เหมือนประธานสโมสร
หลังจากการเข้ามาของประธานสโมสร และผู้จัดการทีมคนใหม่ ซันเดอร์แลนด์สร้างสถิติไม่แพ้ใคร 17 นัดติดต่อกันในฤดูกาล 2006-2007
ในช่วงต้นปี 2007 เก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ ขยับจากตำแหน่งบ๊วยของตารางขึ้นมาเป็นจ่าฝูง และทำให้ซันเดอร์แลนด์เลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกในฐานะ ทีมชนะเลิศ พร้อมกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ อันดับ 2 และทีมดาร์บีเคาน์ตี ชนะเลิศเพลย์ออฟ

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

ซันเดอร์แลนด์ ตอน2


ปี 1995 ซันเดอร์แลนด์ก็ได้ใช้บริการผู้จัดการทีมคนใหม่ ปีเตอร์ รีด เพียงแค่ฤดูการแรก ปีเตอร์ รีด ก็สร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพาทีมขึ้นสู่ระดับพรีเมียร์ลีก หลังจากต้องพยายามอยู่กว่า 5 ปี แต่เนื่องจากทำผลงานได้ไม่ดีนักทำให้ต้องกลับไปเล่นในระดับดิวิชั่น 1 เมื่อจบฤดูกาล และในปีเดียวกันนั้น ทีมซันเดอร์แลนด์ต้องย้ายจากสนาม Roker Park ที่เคยใช้งานมากว่า 99 ปี มายังสนามแห่งใหม่ที่มีความจุมากที่สุดแห่งหนึ่งในรอบ 70 ปีของสนามกีฬาในอังกฤษ ด้วยจำนวนที่นั่งผู้ชม 42,000 คน และได้ขยายมาเป็น 49,000 คนซันเดอร์แลนด์กลับสู่ระดับพรีเมียร์ชิพอีกครั้งในปี 2000-2001 ด้วยฤดูกาลที่ไม่ยากเย็นนัก ปี 1998-1999 ทำคะแนนได้สูงถึง 105 คะแนน

ในอีก 2 ปีต่อมา 2001-2002 ซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ดีอยู่อันดับ 7 ในระดับพรีเมียร์ลีก แต่ทว่ายังพลาดโอกาสที่จะไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ซันเดอร์แลนด์


ซันเดอร์แลนด์

สโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์ มีสนามเหย้าชื่อสเตเดียมออฟไลท์ ตั้งอยู่ในเมืองซันเดอร์แลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ เป็นทีมที่เล่นในพรีเมียร์ลีก
เริ่มใช้งานสนามสเตเดียมออฟไลท์ตั้งแต่ปี 1997 หลังจากใช้งานสนาม Roker Park มากกว่า 99 ปี ซันเดอร์แลนด์เคยเป็นแชมป์ลีกสูงสุด 6 ครั้ง ในปี 1892, 1893, 1895, 1902, 1913 และ 1936 เข้าร่วมกับลีกอังกฤษตั้งแต่ปี 1890 โดยซันเดอร์แลนด์เล่นอยู่ในลีกสูงสุดเรื่อยมาจนถึงปี 1958 เคยชนะเลิศเอฟเอคัพ 2 ครั้ง ในปี 1937 ชนะ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ 3-1 และในปี 1973 ชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 1-0

ประวัติสโมสร

สโมสรซันเดอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1879 และได้เริ่มรับนักเตะเข้ามาร่วมทีมและเข้าร่วมฟุตบอลลีกอาชีพในปี 1890
ในช่วงแรกระหว่างปี 1886-1898 ซันเดอร์แลนด์ได้ใช้สนาม Newcastle Road ร่วมกับสโมสรนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญ ต่อมาในปี 1898 ซันเดอร์แลนด์ได้ย้ายมาใช้สนามโรเกอร์พาร์ค เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่
ปี 1913 ซันเดอร์แลนด์พ่ายให้กับทีมแอสตันวิลลา ในเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ทีมซันเดอร์แลนด์ก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

ปี 1958 ทีมซันเดอร์แลนด์ตกชั้นไปเล่นลีกดิวิชั่น 1 เป็นครั้งแรก
ปี 1987 ซันเดอร์แลนด์ทำผลงานได้ย่ำแย่ทำให้ตกลงไปเล่นในระดับดิวิชั้น 3 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ต่อมาซันเดอร์แลนด์มีผลงานที่ดีขึ้นและเป็นแชมป์ในปี 1988 และหลังจากนั้น 2 ปีสามารถทำผลงานได้ถึงรอบเพลย์ออฟ แต่ต้องพ่ายให้กับสวินดอน หลังจากพ่ายแพ้ทำให้ยังคงต้องเล่นอยู่ในระดับดิวิชั้น 2 ในฤดูกาล 1991-1992 ทีมสามารถเข้าใกล้พื้นที่เพลย์ออฟแต่ทำไม่สำเร็จ ได้เพียงเข้าชิงเอฟเอคัพ และพ่ายให้กับลิเวอร์พูลในที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

แอสตันวิลลา


ฉายา สิงห์ผงาด
ประธานสโมสรคนปัจจุบัน เรนดี้ เลิร์นเนอร์
ผู้จัดการทีมคนล่าสุด มาร์ติน โอนีล
ที่อยู่ : B6 6HE บริเวณฝั่งแอสตันเมืองเบอร์มิงแฮมประเทศอังกฤษ
สนาม วิลล่าพาร์ค (ความจุ 42,640)
สถิติผู้ชมมากที่สุด 76588 คน
ชนะมากสุด 12-2แอคคริงตัน / แพ้มากที่สุด 8-1แบล็คเบิร์น
สโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลา เป็นหนึ่งในสโมสรในเมืองเบอร์มิงแฮมมีคู่อริคือเบอร์มิงแฮม ซิตี้ แอสตันวิลลา เคยชนะยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกหนึ่งสมัยในปี1982ซึ่งเป็นยุคของโทนี่ บาร์ตัน ปัจจุบันอยู่ภายใต้การทำทีมของมาร์ติน โอนีล อดีตผู้จัดการทีมกลาสโกว์ เซลติก ในสกอตแลนด์ซึ่งโอนีลได้วางรากฐานใหม่จนเปลี่ยนวิลล่าจากทีมกลางตารางเป็นทีมระดับหัวแถวในปี2010 แอสตัน วิลล่าได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอล คาร์ลิ่ง คัพ กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแต่ก็แพ้ไป2-1
เกียติประวัติแชมป์ถ้วยยุโรป
แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพหรือยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกในปัจจุบัน 1 สมัยในปี 1982
ยูโรเปี้ยนซูเปอร์คัพ 1 สมัยในปี 1982–83
อินเตอร์โตโต้คัพ 1 สมัยในปี 2001
แชมป์ลีกส์(สมัยยังเป็นดิวิชั่น1อยู่) 7 สมัยในปี 1893–94, 1895–96(ดับเบิ้ลแชมป์), 1896–97(ดับเบิ้ลแชมป์), 1898–99, 1899–1900, 1909–10, 1980–81รองแชมป์ 10 สมัย
แชมป์ดิวิชั่น2เดิม 2สมัยในปี 1937–38, 1959–60
แชมป์ดิวิชั่น3เดิม 1สมัยในปี 1971–72
แชมป์ เอฟเอ คัพ 7สมัยในปี 1887, 1895, 1897, 1905, 1913, 1920, 1957 รองแชมป์ 3 สมัย
แชมป์ลีกคัพ 5สมัยในปี 1961, 1975, 1977, 1994, 1996
แชมป์แชร์ริตี้ชิลล์ 1สมัยในปี 1981 (แชมป์ร่วม)
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
1 GK แบร็ด ฟรีเดล
2 DF ลุค ยัง
3 DF วิลเฟรด เบาม่า
4 DF สตีฟ ซิดเวลล์
5 DF ริชาร์ด ดันน์
6 MF สจ๊วต ดาวนิ่ง
7 MF แอชลี่ย์ ยัง
8 MF เจมส์ มิลเนอร์
9 FW มาร์ลอน แฮร์วู้ด
10 FW ยอห์น คาริว
11 FW กาเบรียล อักบอนลาฮอร์
15 DF เคอร์ติส เดวิส
18 FW เอมิล เฮสกี้
19 MF สติลิยัน เปตรอฟ (กัปตันทีม)
20 MF ไนเจล รีโอ-โคเกอร์
21 DF นิคกี้ ชอรี่
22 GK แบรดลี่ กูซาน
23 DF ฮาบิบ เบย์
24 DF คาลอส คูเอลล่า
25 DF สตีเฟ่น วอร์น็อค
29 DF เจมส์ คอลลิน

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาร์เซนอล ตอน4


อาร์เซนอลจบฤดูกาลด้วยอันดับ 1 หรืออันดับ 2 รวมทั้งสิ้น 8 ฤดูกาลจาก 11 ฤดูกาลที่อาร์แซน เวนเกอร์ก้าวเข้ามาคุมทีมๆนี้ อาร์เซนอลเป็นหนึ่งในสี่สโมสรเท่านั้นที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ตั้งแต่ก่อตั้งลีกสูงสุดนี้ขึ้นในปี 1993 (นอกจากอาร์เซนอลก็มีแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และเชลซี) แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้แม้แต่สมัยเดียวก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ อาร์เซนอลยังไม่เคยตกรอบที่ต่ำกว่ารองก่อนรองชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเลย โดยในฤดูกาล 2005-06 สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ ซึ่งเป็นทีมแรกจากกรุงลอนดอนที่สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปได้ในรอบ 15 ปี แต่กลับแพ้ให้กับบาร์เซโลนา 2-1 อย่างน่าเสียดาย จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 อาร์เซนอลก็ได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปีที่ไฮบิวรีลง โดยการย้ายสนามเหย้ามาอยู่ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียมอันเป็นที่ตั้งของสโมสรในปัจจุบันนี้
เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 ในปลายปี ค.ศ. 1999 อาร์เซนอลได้รับการจัดลำดับจากสำนักข่าวบีบีซีให้เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 100 ปี โดยพิจารณาจากสถิติ และปัจจัยต่าง ๆ โดยมี เอฟเวอร์ตัน และ ลิเวอร์พูล เป็นอันดับสอง และสาม ตามลำดับผู้เล่นชุดปัจจุบัน
1 GK มานูเอล อัลมูเนีย
2 MF อาบู ดิยาบี้
3 DF บาการี่ ซาญ่า
4 MF เชส ฟาเบรกาส (กัปตันทีม)
5 DF โธมัส แฟร์มาเล่น
7 MF โทมัส โรซิชกี้
8 MF ซามีร์ นาสรี่
9 FW เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา
10 DF วิลเลี่ยม กัลลาส
11 FW โรบิน ฟาน เพอร์ซี่
12 FW คาร์ลอส เบล่า
14 FW ธีโอ วัลค็อตต์
15 MF เดนิลสัน
16 MF อารอน แรมซี่ย์
17 MF อเล็กซานเดอร์ ซง
18 DF มิเกล ซิลแวสต์
19 MF แจ็ค วิลเชียร์
20 DF โยฮัน ฌูรู
21 GK ลูคัส ฟาเบียนสกี้
22 DF กาแอล กลิชี่
23 FW อังเดร อาร์ชาวิน
27 DF เอ็มมานูเอล เอบูเอ้
28 MF คีแรน กิบส์
31 DF โซล แคมป์เบลล์
32 MF ฟราน เมริดา
52 FW นิคลาส เบนท์เนอร์
เกียรติประวัติ
ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-2002 ระดับประเทศ
ได้แชมป์น้อยที่สุดรองจากเชลซีในพรีเมียร์ลีก
ดิวิชัน 1 และพรีเมียร์ลีก[13]
ชนะเลิศ (13):1930–31,1932–33,1933–34,1934–35,1937–38,1947–48,1952–53,1970–71,1988–89,1990–91,1997–98,2001–02,2003–04
รองชนะเลิศ (8):1925–26,1931–32,1972–73,1998–99,1999–2000,2000–01,2002–03,2004–05
ดิวิชัน 2[13]
รองชนะเลิศ (1):1903–04
เอฟเอคัพ
ชนะเลิศ(10):1929–30,1935–36,1949–50,1970–71,1978–79,1992–93,1997–98,2001–02,2002-03,2004–05
รองชนะเลิศ (7):1926–27,1931–32,1951–52,1971–72,1977–78,1979–80,2000–01
ลีกคัพ
ชนะเลิศ (2):1986–87,1992–93
รองชนะเลิศ (4):1967–68,1968–69,1987–88,2006–07
ชาริตีชิลด์และคอมมิวนิตีชิลด์[14]
ชนะเลิศ (12):1930,1931,1933,1934,1938,1948,1953,1991(แชมป์ร่วม),1998,1999,2002,2004
รองชนะเลิศ (7):1935,1936,1979,1989,1993,2003,2005
ระดับทวีปยุโรป
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
รองชนะเลิศ (1):2005–06
ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
ชนะเลิศ (1):1993–94
รองชนะเลิศ (2):1979–80,1994–95
อินเตอร์ซิตี้แฟร์คัพ
ชนะเลิศ (1):1969–70
ยูฟ่าคัพ
รองชนะเลิศ (1):1999–2000
ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ
รองชนะเลิศ (1):1994

อาร์เซนอล ตอน3


การกลับเข้ามาสู่วงการฟุตบอลอีกครั้งของ จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะในฐานะผู้จัดการทีมของอาร์เซนอลในปี 1986 ทำให้สโมสรสามารถคว้าแชมป์ได้ 3 สมัย อาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกคัพได้ในฤดูกาล 1986-87 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่แกรแฮมเข้ามาคุมทีม จากนั้นก็มาได้แชมป์ลีกในฤดูกาล 1988-89 ด้วยการคว้าแชมป์จากประตูในนาทีสุดท้าของเกมที่พบกับลิเวอร์พูล จากนั้น อาร์เซนอลภายใต้การคุมทีมของแกรแฮมนั้นก็ได้แชมป์ลีกอีกในปี 1990-91 โดยแพ้ไปเพียงเกมเดียวเท่านั้น และสามารถคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์เอฟเอคัพพร้อมกับลีกคัพได้ในฤดูกาล 1992-93 และถ้วยยุโรปใบที่ 2 คือยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาล 1993-94 ได้ อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของแกรแฮมก็กลายเป็นความเสื่อมเสียเมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้รับเงินสินบนจาก Rune Hauge เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัวจากนั้น แกรแฮมก็โดนไล่ออกในปี 1995 และ บรูซ ริออช ก็เข้ามารับตำแหน่งแทน ซึ่งได้คุมทีมอยู่เพียงฤดูกาลเดียวก่อนที่จะลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรอยู่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 และช่วงทศวรรษที่ 2000 เนื่องจาก อาร์แซน เวนเกอร์ เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1996 เวนเกอร์นำแทคติคใหม่ๆมาใช้ นำวิธีการซ้อมใหม่ๆเข้ามาและนำนักเตะต่างชาติที่สามารถปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้มาเสริมทีมจำนวนมาก อาร์เซนอลจึงสามารถคว้าดับเบิลแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1997-98 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกและแชมป์บอลถ้วย และได้ดับเบิลแชมป์ที่ 3 ในฤดูกาล 2001-02 นอกจากนั้น สโมสรยังสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าคัพได้ในฤดูกาล 1999-00 (แพ้จุดโทษให้กับกาลาตาซาราย แต่มาได้แชมป์เอฟเอคัพ ในฤดูกาล 2002-03 และ 2004-05 แชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในปี 2003-04 ซึ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยจนได้รับฉายาว่า "อาร์เซนอลผู้ไร้เทียมทาน" และสามารถทำสถิติไม่แพ้ติดต่อกัน 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมา ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุดของประเทศอีกด้วย